SEO คือ อะไร?

SEO คือ อะไร?

SEO (Search Engine Optimization) คือกระบวนการปรับแต่งเว็บไซต์ให้สามารถติดอันดับสูงในผลการค้นหาของ Google ซึ่งมีความสำคัญอย่างมากสำหรับเจ้าของเว็บไซต์ เพราะการที่เว็บไซต์ติดอันดับต้นๆ บน Google จะช่วยเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์ เพิ่มโอกาสในการขาย และสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจ

SEO คือการปรับแต่งเว็บไซต์เพื่อให้สามารถทำอันดับสูงในผลการค้นหาของ Google เป้าหมายคือการให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏอยู่ในอันดับแรกๆ หรือบนหน้าแรกของ Google ซึ่งเป็นการเพิ่มโอกาสให้ผู้ใช้ค้นพบเว็บไซต์ของคุณมากขึ้น

การทำ SEO มีประโยชน์อย่างมากสำหรับธุรกิจ เพราะเมื่อเว็บไซต์มีผู้เข้าชมมากขึ้น ก็จะเพิ่มโอกาสที่ผู้เข้าชมจะรู้จักแบรนด์ ซื้อสินค้า หรือทำธุรกิจกับคุณ ดังนั้นการทำ SEO เป็นสิ่งที่ธุรกิจไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะในยุคดิจิทัลที่การค้นหาข้อมูลผ่านอินเทอร์เน็ตเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทุกวัน

 

ประโยชน์ของการทำ SEO สำหรับธุรกิจ

  1. เพิ่มการเข้าถึงเว็บไซต์: การทำ SEO ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีโอกาสปรากฏในผลการค้นหาสูงขึ้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์
  2. สร้างความน่าเชื่อถือ: เว็บไซต์ที่ปรากฏในอันดับแรกๆ ของ Google จะสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้เข้าชม เนื่องจากผู้ใช้มักมองว่าเว็บไซต์ที่ติดอันดับสูงเป็นเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ
  3. เพิ่มโอกาสในการขาย: เมื่อเว็บไซต์มีผู้เข้าชมมากขึ้น โอกาสในการที่ผู้เข้าชมจะกลายเป็นลูกค้าก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
  4. ประหยัดค่าใช้จ่าย: การทำ SEO เป็นการลงทุนระยะยาวที่คุ้มค่า เมื่อเปรียบเทียบกับการใช้เงินซื้อโฆษณาออนไลน์
  5. เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน: ธุรกิจที่ทำ SEO จะมีโอกาสในการแข่งขันสูงขึ้น เนื่องจากเว็บไซต์ของคุณจะปรากฏในผลการค้นหาของผู้ใช้ที่สนใจสินค้า/บริการของคุณ

ความสำคัญของ SEO ในยุคดิจิทัล

ในยุคดิจิทัล SEO กลายเป็นกลยุทธ์การตลาดที่ธุรกิจไม่สามารถละเลยได้ การทำ SEO ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับสูงในผลการค้นหา เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มองหา “หน้าร้าน” ของคุณบนโลกออนไลน์

นอกจากนี้ การที่เว็บไซต์ติดอันดับดีในหน้าเสิร์ช (SERPs) ยังตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบันที่นิยมค้นหาข้อมูลด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการซื้อสินค้า เลือกใช้บริการ ค้นหาร้านอาหาร วางแผนท่องเที่ยว หรือแก้ไขปัญหาต่างๆ การที่เว็บไซต์ของคุณปรากฏในอันดับต้นๆ จึงเป็นการเปิดโอกาสให้แบรนด์เข้าถึงผู้บริโภคอย่างเป็นธรรมชาติ

SEO ช่วยดึงดูดลูกค้าเข้ามาโดยไม่ทำให้พวกเขารู้สึกถูกรบกวน เป็นการตลาดที่เน้นการให้คุณค่าและแก้ไขปัญหาให้กับกลุ่มเป้าหมาย จึงถือเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์ Inbound Marketing ที่มีประสิทธิภาพในการสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับลูกค้า

ความแตกต่างระหว่าง SEO และ SEM

เมื่อพูดถึงการทำ SEO อีกคำที่มักจะพบเจอคือ SEM ซึ่งมีความหมายกว้างกว่าและรวมถึง SEO ด้วย ดังนั้น การทำ SEO เป็นส่วนหนึ่งของการทำ SEM แต่ทั้งสองมีความแตกต่างกันในเชิงลึก

SEM และ SEO คืออะไร?

SEM (Search Engine Marketing): หมายถึงการทำการตลาดผ่านเครื่องมือค้นหา ซึ่งรวมถึงการยิงโฆษณาออนไลน์ผ่าน Google หรือที่เรียกว่า PPC (Pay Per Click) การทำ SEM มุ่งเน้นการซื้อตำแหน่งหรืออันดับในผลการค้นหาเพื่อให้เว็บไซต์ปรากฏในอันดับต้นๆ

SEO (Search Engine Optimization): หมายถึงการปรับแต่งเว็บไซต์ให้เหมาะสมกับการจัดอันดับของเครื่องมือค้นหา (เช่น Google) โดยเน้นที่การเพิ่มคุณภาพของเนื้อหาและโครงสร้างเว็บไซต์เพื่อให้ติดอันดับโดยธรรมชาติ (organic search) โดยไม่ต้องเสียค่าโฆษณา

การเปรียบเทียบ SEO และ SEM

SEO:

  • เน้นการปรับแต่งเว็บไซต์เพื่อให้ติดอันดับโดยธรรมชาติ
  • การทำ SEO ต้องใช้เวลาในการเห็นผลลัพธ์ แต่มีความยั่งยืนในระยะยาว
  • มุ่งเน้นการสร้างเนื้อหาคุณภาพสูงและการปรับโครงสร้างเว็บไซต์ให้เหมาะสมกับการค้นหา
  • ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการโฆษณา แต่ต้องใช้ความรู้และทรัพยากรในการปรับแต่งเว็บไซต์

SEM:

  • รวมถึงการทำ SEO และ PPC
  • การทำ PPC เป็นการซื้อโฆษณาเพื่อให้เว็บไซต์ปรากฏในอันดับต้นๆ ของผลการค้นหา
  • เห็นผลลัพธ์ได้ทันทีเมื่อทำการจ่ายเงิน แต่ต้องมีค่าใช้จ่ายต่อเนื่อง
  • เหมาะสำหรับการทำแคมเปญที่ต้องการผลลัพธ์ในระยะสั้นและการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างรวดเร็ว

ความสัมพันธ์ระหว่าง SEO และ SEM

การทำ SEO และ SEM สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ การทำ SEO เป็นการสร้างพื้นฐานที่ดีสำหรับเว็บไซต์ ส่วนการทำ SEM ช่วยเสริมในการเพิ่มการเข้าถึงและการมองเห็นในระยะสั้น ดังนั้น การผสมผสานการทำ SEO และ SEM จะช่วยให้ธุรกิจมีการตลาดออนไลน์ที่ครบวงจรและมีประสิทธิภาพสูงสุด

ความสำคัญของการเป็นอันดับแรกบนหน้าผลการค้นหา

การเป็นอันดับแรกบนหน้าผลการค้นหาไม่ใช่แค่การปรากฏในหน้าแรกเท่านั้น แต่เป็นการเข้าถึงที่สูงสุดซึ่งทุกธุรกิจต้องการ เพราะสถิติชี้ให้เห็นว่า ตำแหน่งเว็บไซต์ที่อยู่ลำดับต้น ๆ มี Click Through Rate (CTR) สูงกว่าตำแหน่งที่อยู่ลำดับท้ายๆ ความหมายคือ หากเว็บไซต์ของเราอยู่ในอันดับต่ำกว่าอันดับ 10 โอกาสที่ผู้ใช้จะคลิกเข้ามายังเว็บไซต์นั้นแทบไม่มี ในทางตรงกันข้าม หากเว็บไซต์อยู่ในอันดับแรก จะได้รับการเข้าชมมากที่สุด ซึ่งเป็นสิ่งที่ธุรกิจทุกแห่งแย่งชิงกันอย่างดุเดือด การมีเว็บไซต์ในอันดับแรกช่วยเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย และทำให้ธุรกิจของคุณโดดเด่นกว่าคู่แข่ง

การเลือก Keyword ที่เหมาะสมสำหรับ SEO

ก่อนที่เราจะเริ่มต้นทำ SEO การเลือก Keyword ที่เหมาะสมกับเว็บไซต์เป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก การเลือก Keyword ที่ถูกต้องจะช่วยเพิ่มโอกาสในการติดอันดับบน Google และดึงดูดผู้เข้าชมมายังเว็บไซต์ของเรา

1. Keyword ต้องเกี่ยวข้องกับเว็บไซต์หรือธุรกิจ: เลือก Keyword ที่สะท้อนถึงสินค้าหรือบริการของคุณ เช่น หากคุณขาย “เสื้อกันหนาว” คุณอาจใช้คำที่เฉพาะเจาะจงมากขึ้น เช่น “เสื้อกันหนาวไหมพรม” หรือ “เสื้อกันหนาวเกาหลี” การใช้คำที่เฉพาะเจาะจงจะช่วยเพิ่มโอกาสในการแปลงผู้เข้าชมให้กลายเป็นลูกค้า

2. Keyword ที่ดีต้องมีคนใช้ค้นหา: บางครั้ง Keyword ที่ดีไม่จำเป็นต้องเป็นคำที่ถูกต้องตามหลักการสะกด แต่ควรเป็นคำที่ผู้คนส่วนใหญ่นิยมใช้ค้นหา ตัวอย่างเช่น หากคุณทำ SEO สำหรับคอร์สเรียนกราฟิก คุณควรใช้คำว่า “เรียนกราฟฟิก” แม้จะไม่ถูกต้องตามการสะกด เพราะมีคนใช้ค้นหามากกว่า

3. มีปริมาณการค้นหาที่เหมาะสม: นอกจาก Keyword ต้องมีคนใช้ค้นหาแล้ว ยังต้องมีปริมาณการค้นหาในระดับที่เหมาะสมด้วย วิธีการเช็คปริมาณการค้นหามีหลายวิธี เช่น ใช้เครื่องมือ Keyword Planner จาก Google Ads, เครื่องมือ SEO เช่น Mangools หรือเครื่องมือฟรีอย่าง Google Trends

4. เป็น Keyword ประเภท High Commercial Intent: Keyword ประเภท High Commercial Intent เป็นคำที่มีความต้องการซื้อหรือการกระทำที่ชัดเจน ตัวอย่างเช่น “บ้านพัก ชะอำ ติดทะเล ไม่เกิน 2000” หรือ “พรีออเดอร์ ลิปสติก A สี BR420” การใช้ Keyword ประเภทนี้จะช่วยเพิ่มโอกาสในการทำยอดขาย

เมื่อเราได้ Keyword ที่เหมาะสมแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการปรับแต่งเว็บไซต์ให้ได้คะแนน SEO ที่ดีจาก Google ซึ่งจะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับสูงขึ้นและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ

เหตุผลที่ธุรกิจควรลงทุนทำ SEO

Google ค้นหากี่ครั้งต่อวัน? Google ประมวลผลการค้นหา 8,500 ล้านครั้งต่อวัน ซึ่งเท่ากับ 99,000 ครั้งต่อวินาที หรือ 2 ล้านล้านครั้งต่อปี Google ใช้เวลาโดยเฉลี่ย 36 วินาทีในการประมวลผลคำค้นหาและให้ผลลัพธ์

1. ตอบโจทย์พฤติกรรมการค้นหาของผู้บริโภค

ในยุคดิจิทัล ผู้บริโภคมักจะค้นหาข้อมูลบน Google ก่อนตัดสินใจซื้อสินค้าใดๆ แทนที่จะเดินเข้าไปถามในร้าน สถิติการเสิร์ชบน Google แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการมีเว็บไซต์ที่ติดอันดับดีๆ เมื่อผู้บริโภคค้นหาและพบเว็บไซต์ของคุณ พวกเขาจะอ่านคอนเทนต์และได้รับข้อมูลที่ช่วยในการตัดสินใจซื้อ ซึ่งทำให้ธุรกิจมีโอกาสในการขายเพิ่มขึ้น โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาพนักงานขายมากนัก

2. เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ตรงเป้าหมาย

การทำ SEO ช่วยให้ธุรกิจของคุณเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่มีความสนใจและกำลังมองหาข้อมูลหรือทางแก้ปัญหา หากผู้ใช้ค้นหาและเจอคอนเทนต์จากเว็บไซต์ของคุณ แสดงว่าพวกเขามีปัญหาหรือความต้องการที่ธุรกิจของคุณสามารถตอบโจทย์ได้ การนำเสนอสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการเหล่านี้จะเพิ่มโอกาสในการขายมากกว่าการทำการตลาดแบบมวลชนที่ไม่ได้เน้นกลุ่มเป้าหมาย

3. เป็นการทำการตลาดที่ประหยัดและให้ผลลัพธ์ยั่งยืน

การทำ SEO มีค่าใช้จ่ายต่ำกว่าการทำการตลาดเชิงแคมเปญหรือการโฆษณาที่ใช้งบประมาณสูง การปรับแต่งเว็บไซต์ให้ติดอันดับบน Google จะช่วยดึงดูดลูกค้าใหม่ๆ มาโดยไม่ต้องเสียเงินเพิ่มในการทำโฆษณา การรักษาอันดับใช้แรง เวลา และงบประมาณน้อยกว่าการทำโฆษณาหรือแคมเปญใหม่ๆ ทำให้ SEO เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว

4. การลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว

การทำ SEO เป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนระยะยาว เมื่อเว็บไซต์ของคุณติดอันดับดีๆ บน Google จะมีการเข้าชมที่ต่อเนื่องแม้ในระยะยาว การรักษาอันดับต้องการการดูแลที่สม่ำเสมอแต่ใช้งบประมาณน้อยกว่าการทำแคมเปญโฆษณาใหม่ๆ ทุกครั้ง การลงทุนใน SEO จะช่วยสร้างการมองเห็นและการเข้าถึงที่ยั่งยืน ทำให้ธุรกิจของคุณเติบโตอย่างมั่นคงในโลกออนไลน์

องค์ประกอบในการทำ SEO มีอะไรบ้าง

3 องค์ประกอบสำคัญและ 3 องค์ประกอบย่อย
ในการทำ SEO ขอบคุณภาพจาก Trilokana Marketing

องค์ประกอบของการทำ SEO

การทำ SEO มีหลายด้านที่ต้องดูแล ทั้งในเรื่องการสร้างคอนเทนต์ให้ถูกใจผู้ใช้และอัลกอริทึมของเครื่องมือค้นหา (Search Engine) รวมถึงการปรับแต่งเว็บไซต์ในเชิงเทคนิคเพื่อให้ Search Engine เข้าใจและคัดเลือกเนื้อหาไปนำเสนอให้ผู้ค้นหา

1. การทำ On-page SEO

On-page SEO เป็นการปรับแต่งเนื้อหาและองค์ประกอบต่างๆ บนหน้าเว็บไซต์ โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการค้นหา ตัวอย่างของ On-page SEO ได้แก่:

On-Page SEO: The Complete Guide for 2024

  • Content Quality: สร้างเนื้อหาคุณภาพที่มีประโยชน์และเกี่ยวข้องกับผู้ใช้
  • Keywords: การใช้คำสำคัญที่เหมาะสมและเป็นที่นิยม
  • Meta Tags: การตั้งค่า Meta Title และ Meta Description ที่น่าสนใจและตรงกับเนื้อหา
  • Image Optimization: การใช้ภาพที่มีคุณภาพและการตั้งค่า Meta Data สำหรับภาพ
  • Internal Links: การเชื่อมโยงภายในเว็บไซต์เพื่อเพิ่มความสามารถในการนำทาง
  • URL Structure: การตั้งค่า URL ให้สั้นและสื่อความหมาย

2. การทำ Off-page SEO

Off-page SEO เป็นการทำงานนอกเว็บไซต์ เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือและการอ้างอิงกลับมาที่เว็บไซต์ของเรา หรือที่เรียกว่า Backlink การทำ Off-page SEO รวมถึง:

Backlink

แบ็คลิงค์คืออะไร

  • Backlinks: การได้รับลิงก์อ้างอิงจากเว็บไซต์คุณภาพ
  • Guest Posting: การเขียนบทความและโพสต์ในเว็บไซต์อื่นๆ
  • Social Signals: การมีส่วนร่วมและการแชร์บน Social Media
  • Public Relations (PR): การสร้างความน่าเชื่อถือผ่านสื่อและประชาสัมพันธ์

3. การทำ Technical SEO

การทำ Technical SEO คือกระบวนการปรับแต่งเว็บไซต์ในเชิงเทคนิคเพื่อปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานของเว็บไซต์ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ Crawl Bot ของ Search Engine สามารถเข้ามาสำรวจและเข้าใจเนื้อหาในเว็บไซต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยให้เว็บไซต์มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น ผู้ใช้งานสามารถใช้งานได้อย่างรวดเร็วและลื่นไหล

การทำ Technical SEO นั้นต้องอาศัยความรู้ทางเทคนิคและการเขียนโค้ด (Coding) ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของ SEO ที่จะช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมีอันดับที่ดีในผลการค้นหาของ Google ตัวอย่างของการทำ Technical SEO ได้แก่:

Technical SEO

  • Site Security: การใช้ HTTPS เพื่อเพิ่มความปลอดภัยของเว็บไซต์และสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้งาน
  • Site Speed: การปรับปรุงความเร็วในการโหลดหน้าเว็บไซต์ เพื่อให้ผู้ใช้ได้รับประสบการณ์ที่ดีและลดอัตราการออกจากเว็บไซต์
  • Canonical URLs: การตั้งค่า URL ที่เหมาะสมเพื่อหลีกเลี่ยงการทำซ้ำของเนื้อหาและช่วยให้ Search Engine เข้าใจเนื้อหาที่ต้องการนำเสนอ
  • Indexation: การตั้งค่าให้หน้าเว็บไซต์ทั้งหมดถูกจัดทำดัชนีอย่างถูกต้อง เพื่อให้เนื้อหาทั้งหมดสามารถถูกค้นพบได้
  • User Experience (UX): การออกแบบเว็บไซต์ให้ใช้งานง่ายและน่าสนใจ เพิ่มความพึงพอใจให้กับผู้ใช้งาน
  • Accessibility: การทำให้เว็บไซต์เข้าถึงได้ง่ายสำหรับผู้ใช้ทุกคน รวมถึงผู้ที่มีความต้องการพิเศษ
  • Schema Markup: การใช้ Schema เพื่อช่วยให้ Search Engine เข้าใจเนื้อหาเว็บไซต์ได้อย่างละเอียดและนำเสนอข้อมูลในรูปแบบที่เหมาะสม
  • Lazy Loading: การโหลดภาพและเนื้อหาเมื่อผู้ใช้เลื่อนหน้าลงมา ซึ่งช่วยลดเวลาในการโหลดหน้าแรกและปรับปรุงประสิทธิภาพของเว็บไซต์

การทำ Technical SEO อย่างถูกต้องและสม่ำเสมอ จะช่วยเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับดีในผลการค้นหาและสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับผู้ใช้งาน ทำให้เว็บไซต์ของคุณเป็นที่นิยมและน่าเชื่อถือในสายตาของทั้งผู้ใช้งานและ Search Engine

4. การทำ Image SEO

image seo

Image SEO เป็นการปรับแต่งภาพบนเว็บไซต์เพื่อให้เหมาะสมกับการค้นหา โดยเน้นการใช้ภาพคุณภาพสูง การใช้คำสำคัญในชื่อไฟล์และ Alt Text การตั้งค่า Meta Data สำหรับภาพ การบีบอัดภาพเพื่อให้โหลดเร็วขึ้น การตั้งค่าขนาดภาพที่เหมาะสม และการใช้ Lazy Loading เพื่อโหลดภาพเมื่อผู้ใช้เลื่อนหน้าลงมา

5. การทำ Video SEO

video seo

Video SEO เป็นการปรับแต่งวิดีโอบนเว็บไซต์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการค้นหา โดยเน้นการใช้วิดีโอคุณภาพสูง การใช้คำสำคัญในชื่อไฟล์และคำบรรยาย การตั้งค่า Meta Data สำหรับวิดีโอ การใช้ Schema Markup เพื่อให้ Search Engine เข้าใจวิดีโอ การสร้างลิงก์อ้างอิงกลับมาที่วิดีโอ และการแชร์วิดีโอบน Social Media เพื่อเพิ่มการมองเห็น

6. การทำ Local SEO

local Seo

Local SEO เป็นการปรับแต่งเว็บไซต์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการค้นหาท้องถิ่น โดยเน้นการใช้คำสำคัญที่เกี่ยวข้องกับพื้นที่ การตั้งค่า Meta Data ที่เหมาะสม การลงทะเบียนธุรกิจในไดเรกทอรีท้องถิ่น การส่งเสริมให้ลูกค้าเขียนรีวิว และการใช้ Social Media เพื่อเชื่อมโยงกับลูกค้าในพื้นที่

การทำ SEO เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว ช่วยเพิ่มการเข้าถึงเว็บไซต์ของคุณและสร้างโอกาสในการขายและการเติบโตของธุรกิจในโลกออนไลน์

สรุปแล้ว SEO คืออะไร และจำเป็นกับธุรกิจอย่างไร?

SEO (Search Engine Optimization) คือกระบวนการปรับแต่งเว็บไซต์เพื่อให้ติดอันดับบนผลการค้นหาของเครื่องมือค้นหาอย่าง Google การทำ SEO ช่วยเพิ่มโอกาสให้ผู้คนเข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์มากขึ้น ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ที่สำคัญที่สุดในยุคดิจิทัล

การทำ SEO มีความจำเป็นกับธุรกิจเนื่องจากสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำผ่านการสร้างคอนเทนต์ที่ตอบโจทย์ความต้องการหรือข้อสงสัยของผู้บริโภค การทำ SEO ไม่เพียงแค่เพิ่มการมองเห็นเว็บไซต์ แต่ยังช่วยให้ลูกค้าเข้าใจสินค้าและบริการของธุรกิจมากขึ้น ซึ่งเป็นการเข้าถึงลูกค้าแบบ Inbound Marketing ที่สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่นิยมค้นหาข้อมูลก่อนตัดสินใจซื้อ

นอกจากนี้ การทำ SEO ยังให้ผลลัพธ์ที่ยั่งยืน เมื่อเว็บไซต์ของคุณติดอันดับสูงแล้ว มันจะสามารถดึงดูดลูกค้าใหม่ๆ ได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการโฆษณามากเหมือนการทำการตลาดแบบดั้งเดิม การลงทุนในการทำ SEO จึงเป็นการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพสูงสุดในระยะยาว